วันเสาร์ที่ 19 พฤษภาคม 2561 เวลา 23.15 น. นี้ ศึกครั้งยิ่งใหญ่และเป็นศึกครั้งสำคัญของทั้ง 2 ทีม กับการแข่งขันชิงชนะเลิศในฟุตบอล เอฟเอ คัพ ระหว่าง “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี กับ “ผีแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งใกล้เข้ามาแล้วอีกไม่นานเราก็จะได้รู้กันว่าทีมไหนจะคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ไปครอง สำหรับบิ๊กแมทช์ของนัดชิงแชมป์ฟุตบอลเอฟเอ คัพ ก่อนจะถึงศึกเดิมพันครั้งใหญ่นี้ เรามาทบทวนกันก่อนว่า ทั้งสองทีมมีเส้นทางผ่านมาเข้ามาสู่นัดชิงชนะเลิศกันได้อย่างไรบ้าง
เซลซี
– เริ่มต้นก็เหนื่อยเลย
เชลซีเริ่มต้นเอฟเอ คัพ ในรอบสาม ด้วยการเจอกับ นอริช ซิตี้ ทีมจากแชมเปียนชิพ แม้หลายฝ่ายจะมองว่า สิงห์บลูส์เหนือกว่ามาก แต่กลายเป็นว่าเป็นงานยากทันตาเห็นเมื่อนัดแรกนอริช สู้ได้เป็นอย่างดีและเกือบชนะสิงห์บลูส์ได้ แต่จบเกมเสมอกัน 0-0 ทำให้ต้องมาเล่นนัดรีเพลย์ ที่แสตมฟอร์ด บริดจ์
นัดที่สอง เชลซีกำลังก้าวเท้าผ่านเข้าไปสู่รอบสี่อยู่แล้ว เพราะมิตชี่ บาตชูอายี่ ซัดประตูในช่วงครึ่งหลัง แต่แฟนสิงห์ต้องช็อกเมื่อเจอลูกโหม่งของนอริชในช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีสุดท้าย ทำให้เสมอกัน 1-1 ต้องต่อเวลา ช่วงต่อเวลาเชลซีก็ทรุดหนักกว่าเดิมเมื่อ อัลบาโร่ โมราต้า และเปโดร โรดริเกซ โดนใบเหลืองที่สอง ไล่ออกไปทั้งคู่ ก่อนจบช่วงต่อเวลาทำอะไรกันไม่ได้ต้องยิงจุดโทษ สุดท้ายเป็นวิลลี่ กาบาเยโร่ เป็นฮีโร่ช่วยเซฟจุดโทษลูกแรก พร้อมเอแด็น อาซาร์ยิงปิดท้ายช่วยให้สิงห์บลูส์ชนะจุดโทษ 5-3 ผ่านสู่รอบสี่
– ฉลุยยาวทุกรอบ จนรอบก่อนรอง…
หลังจากเชลซีเล่นทำแฟนใจหายใจคว่ำรอบที่แล้ว รอบถัดมาก็โชว์ฟอร์มหรูบ้าง แม้จะเพิ่งตกรอบคาราบาว คัพ มาไม่กี่วันก่อน แต่สิงห์บลูส์แก้ตัวด้วยการเปิดบ้านถล่ม นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ไป 3-0 โดยมิตชี่ บาชูอายี่ เหมาสองประตูสุดท้ายในเสื้อสิงห์บลูส์ ก่อนจะโดนยืมตัวไปดอร์ทมุนด์ ขณะที่รอบถัดมาเชลซีก็ยังฟอร์มฮอตต่อเนื่องเมื่อถล่มฮัลล์ ซิตี้ 4-0 โดยวิลเลี่ยนเหมาสองประตู พร้อมกับ โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ ซัดประตูแรกหลังจากย้ายกับเชลซีในช่วงตลาดหน้าหนาว
แต่รอบ 8 ทีมนี้เป็นงานลำบากของเชลซีอย่างแท้จริง เมื่อต้องไปเยือนรังจิ้งจอกสยาม เลสเตอร์ ซิตี้ แม้ช่วงครึ่งแรก อัลบาโร่ โมราต้า จะซัดประตูแรกนับตั้งแต่ฟอร์มฝืดช่วงบ็อกซิ่งเดย์ แต่เจมี่ วาร์ดี้ ก็มาซ้ำประตูตีเสมอในครึ่งหลังทำให้ต้องต่อเวลากัน สุดท้ายมาเชลซีโชว์ศักยภาพในเกมรุกที่มีมากกว่าเลสเตอร์ที่ยิงทิ้งยิงกว้าง ได้เปโดรลงมาเป็นซุปเปอร์ซับ โหม่งประตูชัยพาสิงห์เข้ารอบรองชนะเลิศไปแบบหวุดหวิด-สองกองหน้า ปราบ-
– นักบุญ ทะลุเข้าชิง
เชลซีจับสลากเข้าไปเจอกับเซาธ์แฮมป์ตัน ในรอบรองชนะเลิศที่สนามเวมบลีย์ ซึ่งช่วงนั้นเซาธ์แฮมป์ตัยกำลังโรยราเนื่องจากอยู่ในโซนตกชั้นพร้อมกับผลงานย่ำแย่ สุดท้าย โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ ก็ยังฟอร์มฮอตต่อเนื่องแหวกแนวรับ 4 คนเข้ายิงแบบสุดสวย ก่อนที่อัลบาโร่ โมราต้าจะลงมาโหม่งประตูปิดกล่องพาเชลซีผ่านเข้าไปล่าแชมป์สมัยที่ 8 ของพวกเขา
สรุปเส้นทางรอบชิงฯของเชลซี
-เอฟเอ คัพรอบสาม เสมอ นอริช ซิตี้ 0-0 (เยือน)
(นัดรีเพลย์) เสมอ นอริช ซิตี้ 1-1 (เหย้า) ชนะจุดโทษ 5-3
-เอฟเอ คัพรอบสี่ ชนะ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด 3-0 (เหย้า)
-เอฟเอ คัพรอบห้า ชนะ ฮัลล์ ซิตี้ 4-0 (เหย้า)
-เอฟเอ คัพรอบ 8 ทีม ชนะ เลสเตอร์ ซิตี้ 2-1 (เยือน)
-เอฟเอ คัพรอบรองฯ ชนะ เซาธ์แฮมป์ตัน 2-0 (เวมบลีย์)
แมนฯ ยูไนเต็ด
– เหนื่อยตั้งแต่รอบสามเหมือนกัน
แมนฯยูไนเต็ด เริ่มต้นในถ้วยเอฟเอ คัพ ในรอบที่สาม โดยต้องเปิดบ้านรับการมาเยือนของ “แกะเขาเหล็ก” ดาร์บี้ เคาน์ตี้ ทีมจากแชมเปียนชิพ ซึ่งตอนนั้นฟอร์มกำลังฮอตจนทีมมีลุ้นเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีก และรูปเกมก็เป็นไปตามคาด ผีแดงเป็นฝ่ายบุกได้มากกว่าแต่ ดาร์บี้ก็สู้ได้เป็นอย่างดี กว่าปีศาจแดงจะได้ประตูขึ้นนำก็ต้องรอจนถึง 6 นาทีสุดท้าย และเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจาก เจสซี่ ลินการ์ด ที่ช่วงนั้นฟอร์มกำลังเข้าฝักซัดประตูที่ 8 จาก 10 เกมหลังสุด โมรินโญ่ ก่อนลูกากูจะมายิงปิดกล่องให้ผีผ่านเข้าไปรอบสี
ฟอร์มไม่หรูแต่เข้าสู่รอบรองฯ
แมนฯยูไนเต็ด กระโจนเข้าสู่ตลาดหน้าหนาวและทำดีลช็อกโลกเมื่อไปคว้าตัวอเล็กซิส ซานเชซ มาจากอาร์เซน่อลได้สำเร็จ ซึ่งเขาก็ได้ลงประเดิมสนามให้กับผีแดงเป็นเกมแรกด้วยการเจอกับ โยวิล ทาวน์ ในเอฟเอ คัพรอบสี่ และเจ้าตัวทำแอสซิสต์ได้พร้อมกับคว้าแมนออฟเดอะแมทช์ในนัดนั้น ก่อนที่ผีแดงจะต้องเจอกับทีมร่วมลีกอย่าง ฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์ ในรอบถัดมา ซึ่งก็ได้ฮีโร่อย่างโรเมลู ลูกากู ที่ช่วงนั้นกลับมาถล่มประตูได้ต่อเนื่อง เหมาสองประตู ผ่านสู่รอบ 8 ทีม
ผีแดง ที่ตอนนั้นกำลังอกหักอย่างหนักเพราะพ่ายเซบีย่าตกรอบแชมเปียนส์ลีก ไม่กี่วันถัดมาก็ต้องมาต้องมาเจอกับไบรท์ตัน ในเอฟเอ คัพ รอบก่อนรองชนะเลิศ ซึ่งแม้ฟอร์มจะทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร แต่ก็ได้ โรเมลู ลูกากู ที่ซัดประตูที่ 4 ใน 5 เกมหลังสุด ช่วยให้ผีแดงฉลุยเข้ารอบรองฯด้วยการชนะ นกนางนวล 2-0
– หักปีกไก่สู่นัดชิง
แมนฯ ยูไนเต็ด เจองานหินในรอบรองชนะเลิศ เมื่อต้องจับสลากกับสเปอร์ส ที่สนามเวมบลีย์ในฐานะสนามกลาง แฟนผีแดงออกมาประท้วงสมาคมเอฟเอของอังกฤษ เนื่องจากสนามเวมบลีย์เป็นสนามเหย้าของสเปอร์สในฤดูกาลนี้ ทำให้แฟนผีมองว่าไก่เดือยทองได้เปรียบมากโข แถมแฟนปีศาจแดงยังหลอนไม่หายเมื่อก่อนหน้านี้เคยแพ้สเปอร์สที่นี่ถึง 3-0 ชนิดสู้ไม่ได้ ซึ่งเริ่มเกมมาก็เหมือนจะเป็นอย่างนั้น เพราะไก่เดือยทองได้ประตูขึ้นนำเร็วจาก เดเล่ อัลลี่ แต่ผีแดงยังมีฮึด เมื่อตามตีเสมอได้จากลูกโหม่งของอเล็กซิส ซานเชซ ก่อนที่ครึ่งหลัง อันเดร์ เอร์เรร่า มาซัดประตูชัยให้ผีแดงหักด่านเข้าไปชิงชนะเลิศ พร้อมล่าแชมป์สมัยที่ 13 เพื่อเทียบสถิติสูงสุดของอาร์เซน่อล
สรุปเส้นทางสู่รอบชิงฯของแมนฯยูไนเต็ด
-เอฟเอ คัพรอบสาม ชนะ ดาร์บี้ 2-0 (เหย้า)
-เอฟเอ คัพรอบสี่ ชนะ โยวิล ทาวน์ 4-0 (เยือน)
-เอฟเอ คัพรอบห้า ชนะ ฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์ 2-0 (เยือน)
-เอฟเอ คัพรอบ 8 ทีม ชนะ ไบรท์ตัน 2-0 (เหย้า)
-เอฟเอ คัพรอบรองฯ ชนะ สเปอร์ส 2-1 (เวมบลีย์)